ในยุคที่เทคโนโลยีเว็บแอปพลิเคชันพัฒนาอย่างรวดเร็ว การออกแบบระบบให้ “ยืดหยุ่น ปรับขนาดง่าย และดูแลได้ต่อเนื่อง” กลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา “Web Application” สมัยใหม่ ซึ่งหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ Microservices Architecture — สถาปัตยกรรมที่ช่วยให้การพัฒนาเว็บแอปมีความคล่องตัวและรองรับการเติบโตในอนาคตได้ดีกว่าเดิม

Microservices Architecture คืออะไร

Microservices Architecture คือรูปแบบการออกแบบระบบซอฟต์แวร์โดย ‘แยกส่วนของแอปพลิเคชันออกเป็นบริการย่อย (services)’ หลาย ๆ ส่วน แต่ละบริการจะทำหน้าที่เฉพาะอย่าง และสามารถทำงานได้อย่างอิสระจากกัน ซึ่งต่างจากระบบแบบเดิมที่เรียกว่า Monolithic Architecture ซึ่งรวมทุกฟังก์ชันอยู่ในโค้ดเดียวกัน — ทำให้เมื่อมีการอัปเดตหรือแก้ไขส่วนใดส่วนหนึ่ง มักต้องกระทบทั้งระบบ

แต่ในสถาปัตยกรรมแบบ Microservices นั้น

  • แต่ละบริการสามารถพัฒนา ทดสอบ และปรับปรุงได้แยกกัน
  • ใช้ภาษาโปรแกรมหรือเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับแต่ละส่วนได้
  • สื่อสารกันผ่าน API (Application Programming Interface) เช่น REST หรือ gRPC

กล่าวได้ว่า Microservices ช่วยให้ “ระบบใหญ่ทำงานได้เหมือนกลุ่มบริการเล็ก ๆ ที่ร่วมมือกัน”

ประโยชน์ของการใช้ Microservices Architecture

  1. ความยืดหยุ่นในการพัฒนา (Development Flexibility)

นักพัฒนาแต่ละทีมสามารถทำงานบนบริการของตนเองโดยไม่ต้องรอส่วนอื่น ๆ ทำให้กระบวนการพัฒนาเร็วขึ้นและลดความซับซ้อนของโค้ด

  1. การปรับขนาดระบบ (Scalability)

สามารถขยายเฉพาะบริการที่มีภาระงานสูง เช่น ระบบชำระเงิน หรือระบบจัดการผู้ใช้ โดยไม่ต้องขยายทั้งแอปทั้งหมด

  1. ความทนทานของระบบ (Resilience)

หากบริการหนึ่งล่ม (เช่น ระบบตะกร้าสินค้า) ระบบอื่น ๆ เช่น การเข้าสู่ระบบ หรือการค้นหาสินค้า ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ

  1. การอัปเดตและบำรุงรักษาง่าย (Easy Deployment & Maintenance)

สามารถอัปเดตแต่ละบริการแยกกันได้ โดยไม่ต้องหยุดระบบทั้งหมด ลด downtime และลดความเสี่ยงจากการ deploy ครั้งใหญ่

  1. รองรับเทคโนโลยีหลากหลาย (Polyglot Architecture)

แต่ละบริการสามารถใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับงาน เช่น Node.js สำหรับบริการเรียลไทม์, Python สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล, หรือ Go สำหรับบริการที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

ตัวอย่างการใช้งาน Microservices ในการพัฒนา Web App

  1. E-Commerce Platform (ระบบร้านค้าออนไลน์)

   ระบบร้านค้าออนไลน์สามารถแยกบริการออกเป็นส่วนย่อย เช่น

  • ระบบจัดการสินค้า (Product Service)
  • ระบบชำระเงิน (Payment Service)
  • ระบบตะกร้าสินค้า (Cart Service)
  • ระบบผู้ใช้ (User Service)

     แต่ละบริการสามารถพัฒนาแยกกัน และเชื่อมโยงผ่าน API ได้อย่างอิสระ

  1. Streaming Platform (แพลตฟอร์มวิดีโอหรือเพลง)

   ใช้ Microservices เพื่อแยกส่วนการทำงาน เช่น

  • ระบบจัดการบัญชีผู้ใช้
  • ระบบแนะนำเนื้อหา (Recommendation Engine)
  • ระบบประมวลผลวิดีโอหรือเสียง
  • ระบบรายงานการใช้งาน (Analytics Service)

     ทำให้ระบบสามารถรองรับผู้ใช้นับล้านได้โดยไม่ล่ม

  1. Travel Booking System (ระบบจองท่องเที่ยว)

แต่ละบริการ เช่น การจองเที่ยวบิน โรงแรม รถเช่า หรือชำระเงิน สามารถทำงานแยกกัน และสื่อสารผ่าน API เพื่อให้การประมวลผลรวดเร็วและปลอดภัย

สรุป

การใช้ Microservices Architecture เป็นแนวทางที่ตอบโจทย์การพัฒนา Web Application ยุคใหม่ ที่ต้องการความยืดหยุ่น ปรับขนาดง่าย และดูแลรักษาได้สะดวก โดยเฉพาะในยุคที่ระบบต้องรองรับผู้ใช้จำนวนมากและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

แม้จะต้องใช้การออกแบบที่ซับซ้อนกว่าแบบ Monolithic แต่หากจัดการอย่างเหมาะสม Microservices จะช่วยให้ธุรกิจของคุณ พร้อมเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว

ที่มา: expert-programming-tutor.com

หากคุณต้องการให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มลูกค้าบนโลกออนไลน์ สร้างผลลัพธ์ทางการตลาดได้อย่างยั่งยืน เรายินดีให้คำปรึกษาในสิ่งที่คุณต้องการ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ :Tel. 093 696 4498 Line OA: https://lin.ee/po8XduU

E-mail: mongkontep@pkindev.com

Inverz Solutions Co., Ltd. ได้รับรางวัลการันตีมากมาย