
VR และ AR คืออะไร
Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เป็นเทคโนโลยีเสมือนจริงที่กำลังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในวงการพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน (Web App) ซึ่งมุ่งเน้นการสร้าง “ประสบการณ์แบบอินเทอร์แอคทีฟ” ให้ผู้ใช้งานรู้สึกมีส่วนร่วมและเข้าถึงข้อมูลได้สมจริงมากยิ่งขึ้น
- VR (Virtual Reality) คือเทคโนโลยีที่สร้าง “โลกเสมือน” ขึ้นมาโดยสมบูรณ์ ผู้ใช้งานจะต้องสวมอุปกรณ์ เช่น แว่น VR (VR headset) เพื่อเข้าสู่สภาพแวดล้อมจำลองที่แตกต่างจากโลกจริง เช่น การเดินชมบ้านตัวอย่าง 3D หรือการฝึกอบรมในสภาพจำลอง
- AR (Augmented Reality) คือเทคโนโลยีที่ “ผสานโลกจริงกับโลกเสมือน” เข้าด้วยกัน โดยใช้กล้องสมาร์ตโฟนหรืออุปกรณ์อื่น ๆ แสดงวัตถุเสมือน (3D models, ข้อความ, ภาพ) ซ้อนทับบนภาพจริง เช่น การลองวางเฟอร์นิเจอร์ในห้องผ่านกล้องมือถือ หรือการทดลองใส่สินค้าผ่านหน้าจอ
ความหมายโดยรวม
ทั้ง VR และ AR เป็นเทคโนโลยีในกลุ่ม “Immersive Technology” หรือเทคโนโลยีที่มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ผู้ใช้สามารถ “มีส่วนร่วม” กับเนื้อหาดิจิทัลได้มากกว่าการดูหรืออ่านทั่วไป ซึ่งปัจจุบันถูกนำมาประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การศึกษา การท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ อีคอมเมิร์ซ และความบันเทิง
ความแตกต่างระหว่าง VR และ AR

ประเด็น | Virtual Reality (VR) | Augmented Reality (AR) |
ลักษณะการใช้งาน | สร้างโลกเสมือนใหม่ทั้งหมด | เพิ่มวัตถุเสมือนในโลกจริง |
อุปกรณ์ที่ใช้ | แว่น VR, Controller | สมาร์ตโฟน, แท็บเล็ต, AR Glasses |
การมีปฏิสัมพันธ์ | ผู้ใช้เคลื่อนที่ในสภาพแวดล้อมจำลอง | ผู้ใช้เห็นวัตถุเสมือนในโลกจริง |
ตัวอย่างการใช้งาน | เกม VR, การจำลองฝึกอบรม | ลองสินค้า, ระบบนำทาง, การตลาดเชิงประสบการณ์ |
มุมมองของ VR และ AR สำหรับลูกค้า

- ประสบการณ์ที่สมจริงและดึงดูดใจ
– ลูกค้าสามารถทดลองสินค้า บริการ หรือสถานที่ได้อย่างสมจริง เช่น การลองสวมเสื้อผ้าผ่าน AR หรือการเยี่ยมชมโครงการบ้านผ่าน VR โดยไม่ต้องเดินทางจริง
- เพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ
– การได้เห็นภาพจำลอง 3D หรือการลองใช้งานแบบเสมือนจริงช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสินค้ามากขึ้น และตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
- สร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์
– เว็บไซต์หรือแอปที่ผสานเทคโนโลยี VR/AR จะดูทันสมัยและสร้างภาพลักษณ์เชิงนวัตกรรม เพิ่มความจดจำและความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
- เพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ (User Engagement)
– ผู้ใช้จะใช้เวลาอยู่ในเว็บหรือแอปนานขึ้น เพราะประสบการณ์แบบอินเทอร์แอคทีฟช่วยให้เกิดความสนุกและอยากกลับมาใช้งานอีก
ตัวอย่างการใช้งาน VR/AR ใน Web App
- อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate): เว็บแสดงบ้านตัวอย่างเสมือนจริงแบบ VR ให้ลูกค้าเดินชมภายในได้ 360 องศา
- อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce): เว็บไซต์แฟชั่นใช้ AR ให้ลูกค้าลองสวมใส่เสื้อผ้าหรือเครื่องประดับผ่านกล้องมือถือ
- การท่องเที่ยว (Tourism): เว็บท่องเที่ยวเปิดประสบการณ์ “Virtual Tour” พาผู้ชมเที่ยวสถานที่สำคัญทั่วโลกผ่าน VR
- การศึกษา (Education): Web App สอนวิทยาศาสตร์ที่ใช้ AR จำลองโมเดลอะตอม หรือระบบสุริยะ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่ายขึ้น
- การตลาด (Marketing & Branding): เว็บไซต์จัดกิจกรรมแคมเปญหรือเกมแบบ AR เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า เช่น การสแกน QR เพื่อเปิดภาพ 3D
สรุป
การผสาน VR และ AR เข้ากับ Web Application เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้งาน (User Experience) ให้เหนือกว่าการใช้งานเว็บไซต์แบบเดิม เพิ่มความอินเทอร์แอคทีฟ สร้างมูลค่า และเสริมภาพลักษณ์ความทันสมัยของธุรกิจในยุคดิจิทัล
ที่มา: sable.asia
หากคุณต้องการให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มลูกค้าบนโลกออนไลน์ สร้างผลลัพธ์ทางการตลาดได้อย่างยั่งยืน เรายินดีให้คำปรึกษาในสิ่งที่คุณต้องการ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ :Tel. 093 696 4498 Line OA: https://lin.ee/po8XduU
E-mail: mongkontep@pkindev.com
Inverz Solutions Co., Ltd. ได้รับรางวัลการันตีมากมาย
